Translate

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เกียรติโอชา ... ข้าวมันไก่ ... เชียงใหม่

เกียรติโอชา  ... ข้าวมันไก่  ข้าง ศาลากลางเก่า  ... กลางเมือง  เชียงใหม่  



                                 หากคุณมาเที่ยวเชียงใหม่  ... แล้วอยากทาน  " ข้าวมันไก่ "   ...  แล้วลองไปถาม คนเชียงใหม่ ที่อายุ ขึ้นเลข 4 นำหน้า ว่า
" จะไปทาน ข้าวมันไก่ ที่เชียงใหม่  แนะนำว่า ควรไปทานร้านไหนดี ?  "
" เกียรติโอชา "  ...  น่าจะเป็น คำตอบ ที่ผมมั่นใจว่า  ...  ติดอยู่ใน  List  ต้นๆ  1 ใน 5 อันดับ แรก ของการแนะนำ แน่นอน ครับ
ที่มั่นใจอย่างงั้น  คงเป็นเพราะ  ความที่เป็น ร้านข้าวมันไก่ เก่าแก่ ที่เปิดมานานกว่า 50 ปีแล้วครับ  จนคนรุ่นเกินวัยนี้ขึ้นไป น่าจะเคยไปลิ้มรส กันมาหมดแล้ว
















                                 " ข้าวมันไก่ "  ....  หนึ่งในอาหารจานเดียวยอดนิยม  ที่รับประทานกันได้  ตั้งแต่มื้อเช้า ไปจนถึง มื้อดึก กันเลยทีเดียวครับ  ...  เป็นอาหารที่ ไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง  ความเชื่อ  หรือ  การนับถือ  หรือ  กลิ่นสาบ ของเนื้อสัตว์   เหมือนเช่น  อาหารเนื้อสัตว์ ประเภทอื่นๆ เช่น  เนื้อหมู  หรือ  เนื้อวัว
ฉะนั้น  คนที่ชอบทาน  ข้าวมันไก่  ก็เลยโชคดีกว่า คนที่ชอบทาน อาหารประเภท เนื้อสัตว์ ชนิดอื่นๆ  ...  จีงสามารถหา ทานได้ ไม่ยาก  ไม่ว่าเวลาที่จะเดินทางไป จังหวัดไหนๆ  ของ ประเทศไทย หรือ  แม้กระทั่ง  ในทวีปเอชีย ของเรา  ก็มีให้ทานกันเกือบทุกประเทศ กันเลยก็ว่าได้
                                " ข้าวมันไก่ "   ...  มีถิ่นกำเนิด  และ ได้รับการเผยแพร่  มาจาก    " ชาวจีนหลี "      ชนชาติที่เป็นต้นตำรับ ในการทำข้าวมันไก่     ...   " งง "  หละซิครับ  .....  " ชาวจีนหลี "   ไม่ใช่ มนุษย์ต่างดาว หรือ  ชาวจีน ที่เจ้าชู้  ที่ไหนเลยครับ  
แท้จริง ก็คือ   ชาวจีนเชื้อสาย  ไหหลำ  หรือ  ไห่หนาน  นั่นเองครับ  
ไม่ว่าเวลาที่เราไป  ร้านข้าวมันไก่  ร้านไหน  ,  เมืองไหน  ,   ประเทศไหน   ที่มี   " ไก่ตอน ผิวสวยมัน  เนื้อนุ่ม และ เหนียวกำลังดี "    และ ข้าวมัน ที่หุงแบบไม่มันมากเกินไป  และ รสชาติหอมอร่อย  แล้วละก็   สันนิฐานไปก่อนได้เลยครับ ว่า  เจ้าของร้าน หรือ พ่อครัว ของร้านนั้น  ต้องมีเชื้อสาย ของ  ชาวไหหลำ  แน่นอนครับ
ร้านเกียรติโอชา  ...  ก็เป็นอีกร้านนึง ที่เป็น ข้าวมันไก่  สูตรไห่หนาน  แท้ๆ เช่นกันครับ

















                              ร้านนี้เปิดขายกัน ตั้งแต่เช้าตรู่เลยครับ  ประทาณ 6 โมงเช้าก็ตั้งโต๊ะ เตรียมร้าน เสร็จ พร้อมขายแล้วครับ  ...  เป็น ร้านข้าวมันไก่ ที่มี ฝรั่งมังค่า ไปทานเยอะที่สุดในเชียงใหม่ ก็ว่าได้ครับ  .. ก็อย่างที่บอกว่า  เปิดมายาวนานกว่า 50 ปี  ...   จนเดี๋ยวนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้ง จีน  แขก  ฝรั่ง  ได้บรรจุ  ร้านนี้ อยู่ในรายการท่องเที่ยว ของตัวเอง ให้เป็น หนึ่งในร้านอาหารที่ ต้องแวะมาลิ้มรส เวลามาเที่ยวเชียงใหม่  กันเลยทีเดียวเลยครับ

ไก่ตอน  ..........   มีให้เลือกสั่ง ทั้งแบบ  ข้าวมันไก่  ที่ เสิร์ฟมาพร้อมไก่สับ วางบนข้าวมัน  และ  เนื้อไก่สับเป็นจาน  (มีทั้ง เล็ก กลาง ใหญ่)   ....   เลือกส่วนของไก่  กันได้ครับ  ไม่ว่าจะเป็น สะโพก , หน้าอก , น่อง  ฯลฯ   รวมไปถีง เครื่องใน และ เลือด  .... เนื้อไก่ นุ่ม และ เหนียวนิดๆ  ตามสไตลส์ไห่หนาน   ...  แต่ที่ร้านนี้  เค้าไม่มี เสิร์ฟ แตงกวา มาเคียงข้างไก่ และ ข้าวมันไก่ เหมือนร้านอื่นๆ นะครับ  ... ผมเองก็ไม่ทราบว่า ทำไม และ มีเหตุผลอะไร  ... ใครสงสัย ก็ ลองไปถามเจ้าของร้านดูนะครับ  

น้ำจิ้ม   ..........   ที่นี่มีน้ำจิ้ม เสิร์ฟ มา 2 แบบครับ  ...  ซีอิ๊วดำหวาน  และ  น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ปรุงรสเข้มข้นดีครับ  เสิร์ฟมาพร้อม พริกขี้หนูสับ และ ขิงสับ

ข้าวมัน  .........  ข้าวมัน หุงมาเป็นเม็ดสวยดีครับ

หมูสะเต๊ะ  ..........  หมูสะเต๊ะ กับ ข้าวมันไก่ เป็นของคู่กันครับ  ... ไปร้านข้าวมันไก่ร้านไหน มีหมูสะเต๊ะ ขายอยู่หน้าร้าน เกือบทุกแห่งเลยครับ  ...  หมูสะเต๊ะ  กับ  น้ำจิ้มก็อร่อยดีครับ  ...  เหตุที่ผมมาร้านนี้ทีไร แล้วสั่ง หมูสะเต๊ะมาทานประจำ  ก็เพราะ    "อะจาด"   นี่แหละครับ  ....  เพราะ ข้าวมันไก่  ที่ร้านนี้เค้าไม่ได้เสิร์ฟ มาพร้อมแตงกวา เหมือนร้านอื่นๆ  ผมเลยต้องสั่ง  หมูสะเต๊ะ  เพื่อทานอะจาด ที่มีแตงกวา แทน ครับ   ...  แต่ก็คิดว่า  สั่ง อะจาด แถม หมูสะเต๊ะ แล้วกันครับ ....  555555














                            
ร้าน  เกียรติโอชา  ......  เปิดบริการ ตั้งแต่   06.00 น.   ถึง    15.00 น. 
อยู่ข้าง ศาลากลางเก่า (ที่ตั้งอยู่ ด้านหลัง อนุสาวรีย์สามกษัตริย์)  
เลขที่   41 - 43   ถนน อินทรวโรรส  ,  อำเภอเมือง  ,  เชียงใหม่
โทร       053-327-262    ถึง   3 




ป๋าปึกส์  
16/10/2556  

ขอแนะนำ ร้านโปรดของผู้เขียน
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html


ติดตาม คอลัมน์ แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวันใน  Facebook
ได้ที่  : http://www.facebook.com/SuebsaengSun







วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

MIX Restaurant & Bar ... PROMENADA , เชียงใหม่

MIX  Restaurant & Bar  ...  ชั้น 1 ,  อาคาร B  ...  ที่  PROMENADA  ,  เชียงใหม่  




                         " อาหารไทย "    ... ได้รับการขนานนาม ว่า  เป็นอาหาร ที่ พิถีพิถัน ในการตกแต่งอาหาร มายาวนาน จนเป็นที่เรื่องลือ ไปทั่วสารทิศ เลยทีเดียวครับ  ...
ตั้งแต่ การ แกะสลัก  ผัก ผลไม้  เพื่อใช้ในการตกแต่งหน้าตา  ของอาหาร
การเลือกสมุนไพร นานาชนิด เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบ
การประดิษฐ์ประดอย  รูปทรง และ ลายละเอียด  .
อาหารไทย ที่มีการตกแต่ง และ ประดิษฐ์ประดอย กันมากที่สุด ....  ส่วนใหญ่จะเป็น  อาหารไทย จาก ภาคกลาง  ...  และ อาหารไทยที่ได้รับ การถ่ายทอด  มาจากอาหาร  ตำรับชาววัง
                            จนมาถึง ยุคนี้ .. พ.ศ.นี้  ...  พ่อครัวไทย รุ่นใหม่ๆ ก็ยังคงรักษา ความดีงามที่ พ่อครัวในอดีตเคยสร้างชื่อเสียงไว้ กับ อาหารไทย  ....  แต่ในปัจจุบัน  อาหารไทยได้มีการพัฒนา ไปกว่าที่เคยทำกันมา  จากการเปิดกว้างในการรับรู้ และ เรียนรู้จากประสพการณ์ ในการ ได้เห็น และ ได้สัมผัส  และ เก็บเกี่ยว ข้อดี และ จุดเด่น หลายประการ จาก อาหารต่างชาติ  จากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก มากขึ้น
จนทำให้เดี๋ยวนี้ พ่อครัว บ้านเรา   พัฒนาไปไกลเลยครับ  ...  ไม่ใช่ แค่ แกะสลักโน่น แกะสลักนี่  ให้เป็น ดอกๆ  ...  แล้ววางข้างจาน เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วครับ  ....  เริ่มมีพัฒนาไปถึง  การดัดแปลงรูปลักษณ์ หน้าตา ...  แต่ก็ยังคง ให้ความสำคัญ  ในรสชาติความเป็นอาหารไทย  ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  ....   หนึ่ง ในร้านอาหาร ประเภท ที่ ผมบอกว่า พัฒนาไปไกล  ก็คือ  ร้านที่ผมจะแนะนำในวันนี้ นี่แหละครับ

















                             Mix  Restaurant and Bar  ....  ร้านอาหารไทยแนวใหม่ ทีผสมผสาน อาหารไทย กับ สไตลส์ที่แตกต่าง ของอาหารต่างชาติ ที่ลงตัว  ...  การจัดวาง ... การเลือกวัตถุดิบ  ..  การเลือกใช้ภาชนะ ...  การออกแบบตกแต่ง อาหารที่ทันสมัย  หรือ แบบที่กำลังนิยม กันทั่วบ้าน ทั่วเมือง  ที่  เรียกกันว่า  " ฟิวชั่น ฟู้ด "  ....   และ ที่สำคัญที่สุด ของอาหารร้านนี้ ที่ผม คงต้องชม ก็คือ การรักษารสชาติของอาหารไทย ได้อย่าง ลงตัว และ พอดี ครับ
                             วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ เป็น  " วันครอบครัว "  สำหรับครอบครัวผม ครับ   ...  ผมพยายาม ถ่ายทอดกิจกรรมที่ผมเอง ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจาก คุณพ่อ คุณแม่ ของผม ...  ท่านเคยสอนไว้ตั้งแต่ สมัยเด็กๆ สมัยที่ยังคงเรียนหนังสือใน กรุงเทพฯ ว่า  ...  " ในอนาคต ลูกๆ โตขึ้น .. ความเป็นอยู่ และ การใช้ชีวิต  คงไม่เหมือนกันกับ สมัยที่ พ่อกับแม่ โต  ...  การแข่งขัน คงมากขึ้นอีกเยอะ  ...  การใช้เวลานอกบ้านของแต่ละคน  ก็ต้องมากขึ้น  ... แน่นนอนว่า การอยู่ร่วมกันกับครอบครัว ก็ย่อม น้อยลงเป็นธรรมดา  ...  ท่านเคย บอกไว้ว่า  ขอให้ ครอบครัวเรา ได้  ทานข้าวพร้อมหน้ากัน ซักอย่างน้อย อาทิตย์ละมื้อ  .... แล้ว เราก็พยายาม ยึดปฏิบัติให้ได้ตามที่ท่านบอก โดยเลือกเอา .. วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่ ทุกคนภารกิจน้อยที่สุด  เป็นวันที่ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทั้งครอบครัว "
ทุกวันนี้ ทุกวันอาทิตย์ ผมและลูกๆของผม ก็พยายามทำตัวให้ทุกคนว่างในวันอาทิตย์  เพื่อที่จะได้ทานข้าวพร้อมหน้ากัน  ....  เมื่อวาน เป็นการเลือกของ ลูกๆครับ  ... เราเลยไปกันที่  Mix Restaurant and Bar  ที่ ชั้น 1 .. อาคาร B ... ในห้าง  Promenada  ที่เชียงใหม่ ครับ















                       ร้านนี้ ผมเคยไปครั้งแรก ตอนที่เค้าเปิดร้านแรก ที่เป็นต้นตำรับ  เมื่อหลายปีก่อน  ที่ นิมมานฯ ซอย 1  ...  ตอนนั้นจำได้ว่า  รายการอาหารแตกต่างกับ รายการอาหารที่ผมมาทานในวันนี้ โดยสิ้นเชิงเลยครับ  ..  วันนั้นตอนทานเสร็จ  เดินออกจากร้าน  ก็ไม่ได้มีอะไรประทับใจ เป็นพิเศษ  ...  หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ย้อนกลับไป ทานอาหารที่ร้านนั้น  น่าจะกว่า 5-6 ปี เลยทีเดียวครับ
                       มาวันนี้ที่  ต้องบอกว่า ต่างกันโดยสิ้นเชิง ครับ  ...  ก็เพราะ  อาหาร ที่ทานเข้าไป แล้ว ติดใจ นี่ซิครับ  ...  เราสั่งอาหารมาประมาณ  7-8 อย่าง  ...  ค่อนข้างจะอร่อยลงตัวทุกอย่างเลยครับ  ...  มีจานที่ประทับใจ  จนต้องมาแนะนำ หลายจานเลยครับ

ปลาร้าทรงเครื่อง  ..........  ตอนลูกๆผม  อ่านเมนู ให้ฟัง (ผมลืมเอา แว่น ไปครับ มองไม่เห็นครับ.. 555)  ....  ผมยังต้องย้อนถามเลยครับ ว่า     " อะไรกัน ร้านนี้มี ปลาร้า  ด้วยเหรอ ? "
เสียงตอบว่า   " มี "   พร้อมกันทั้งโต๊ะครับ
เหลือเชื่อครับ  !!!   ....  ร้านอาหารไทยฟิวชั่นแบบนี้ มีปลาร้าทรงเครื่องครับ ... ไม่ได้แค่มีอยู่ในเมนูเท่านั้นครับ  จานนี้อร่อย จนผมแทบจะทานคนเดียวเลยครับ  ....  ปลาร้า ที่พอทานแล้ว สัมผัสได้ว่า สอาดเลยครับ  สีขาวอมเหลือง นวลๆ  ได้กลิ่นปลาร้าหอมกำลังดี  ... เสิร์ฟมาพร้อมผักเครื่องเคียง ที่จัดวางไว้สวยงาม และ ถูกใจทุกอย่างเลยครับ มีทั้ง  ขมิ้นขาว  .. หัวปลี .. มะเขือ .. กะหล่ำปลี  ....  ปลาร้าทรงเครื่อง รสชาติอร่อยเลยครับ  ... คนที่ชอบทานปลาร้า ขอแนะนำว่า  พลาดไม่ได้เลยครับ  .. ต้องลอง  เลยครับ

แกงเขียวหวานไก่ โรตี   ..........  โดยปรกติ ถ้าเป็น แกงเขียวหวาน ที่ทานกับโรตี แล้ว สมัยก่อน เค้าทำกัน เฉพาะ แกงเขียวหวานเนื้อเท่านั้นครับ ... ผมคิดว่า ที่นี่ คงเอาใจตลาดในยุคปัจจุบันครับ ... ก็เดี๋ยวนี้ คนทานเนื้อวัวน้อยลง  ...  แกงเขียวหวานร้านนี้ ก็เลยมีให้เลือกแค่ 2 อย่างเท่านั้นครับ  เป็น ไก่ และ หมู ครับ ... เราก็เลยจัดแจงสั่ง แกงเขียวหวานไก่ มาแทนครับ
ตอนยกมา เห็นโรตี  สีแปลกๆ  บางๆ  .. ผมยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ครับ  ...  แต่พอฉีกโรตีเข้าปากชิมไปนิดนึง  ...  บางแต่กรอบ และ หอมอร่อยดีครับ
แกงเขียวหวาน ต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษครับว่า  Rich  ดีครับ  .. รสชาติกำลังดี .. เนื้อไก่ .. มะเขือ .. หั่นมาพอดีคำ ดีครับ  ... หั่นเอาโรตีวางลงบนช้อน  แล้วตักแกง ให้มี เนื้อไก่ซักชิ้น มะเขือซักชิ้น  น้ำแกงให้เต็มช้อน  .....  อาบัง โต๊ะ ข้างๆผม ร้อง   โอวววววววววว  ลั่นร้านเลยครับ


















พาร์ม่าแฮม ห่อ เมล่อนญี่ปุน กับ ยำแอบเปิ้ล   ..........  อาหารที่ผสมผสาน เอาอาหาร จากกหลายชาติ มาอยู่ในจานเดียวกันได้อร่อยลงตัวดีครับ  ...  พาร์ม่าแฮม จากอิตาลี  .. ห่อเมล่อน รสอมหวาน แบดัดจริต ของ ญี่ปุ่น .. เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงที่เป็น ยำแอบเปิ้ล ทังเขียว และ แดง จากออสเตรเลีย
พาร์ม่าแฮมกับเมล่อน ก็อร่อยไม่แตกต่างกับ ร้านอาหารอิตาเลี่ยนเท่าไหร่นัก  ...  แค่ ยำแอบเปิ้ล นี่ซิครับ  ...  มีรสยำออกไทยๆ คล้ายๆน้ำส้มตำ  อร่อยดีครับ

ยำผักบุ้งกรอบทะเล   ..........  ผักบุ้งทอดกรอบ (กรอบจริงๆครับ)  วางหน้ามาด้วย ไข่ดาวทอดกรอบหั่นเป็นชิ้นๆ .. วางน้ำยำทะเล รสจัดจ้าน  ที่มีทั้งกุ้ง และ ปลาหมึก  อยู่ในถ้วยข้างจาน
จะทานผักบุ้งก่อนแล้วตามด้วยน้ำยำ  ...  หรือ จะเอาน้ำยำโรยหน้าแล้วทาน  ก็ได้นะครับ  ... อร่อยเข้ากันดีครับ

ยำมะเขือม่วงโครงการหลวง กับกุ้ง และ หอยเชลส์ฮ้อกไกโด    ..........   มะเขือม่วงไซด์กลาง หั่นตามขวาง แล้วย่างมาสุกกำลังดี ราดมาด้วยน้ำยำ  รสอร่อย วางเคียงข้างมาด้วยไข่ต้มยางมะตูม  ... จานนี้ รสชาติ ทันสมัยดีครับ

ปลาเงิน ญี่ปุ่น ทอดพริกเกลือ   ..........  ปลาเงิน .. ปลาตัวน้อยๆ จากประเทศญี่ปุ่น ชุบแป้งทอดมากรอบกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อม ซ้อสพริก คล้ายๆ ซ้อสศรีราชา  ...  แค่ปลาเงินชุบแป้งทอดก็อร่อยแล้วครับ .. จานนี้ ท่านแกล้ม เบียรเย็นๆ  ช่างเข้ากันดีเหลือเกินครับ

















แกงคั่วเนื้อปู ใบชะพลู   .........    แกงปู แบบปักษ์ใต้  ...  สีเหลืองของขมิ้นงามมาเลยครับ  .. ใส่เนื้อปู เป็นก้อนๆ  .. ลอยหน้ามาด้วย ใบชะพลูหั่นเล็ก  ....   อร่อยดีครับ  .. ผมว่า ถ้าจัดจ้านมากกว่านี้ อีกซักนิด  ... รับรองว่า  ร้านแกงปู ที่ภูเก็ต ต้องร้องไห้ แน่่ๆ เลยครับ

                     ยังมีอาหารอีกหลายจานที่ไม่ได้สั่งครับ  ...  แต่เท่าที่เห็น พนักงาน ยกผ่านโต๊ะผมไป ก็น่าทานหลายจานเลยครับ  ..  บางจานมี ลูกเล่นน่าสนใจเลยครับ  ตอนยกผ่านโต๊ะผม มีควันย้ำแข็งแห้ง ลอยตาม เรียกร้องความสนใจ ได้ไม่เลวเลยครับ  ....  ลูกๆผม ยังบอกอีกว่า ร้านนี้ ขนม ก็อร่อย ... แต่วันนี้ เรามากัน 4 คน กับข้าวเต็มโต๊ะขนาดนี้  เห็นทีจะต้องกลับมาลองอีกซักรอบ เร็วๆนี้ แน่นอนครับ
ถ้า
ลองแวะไปทานกันดูนะครับ   ...  ราคาก็มาตรฐานครับ  ... ร้านอาหารในห้างที่เค้าต้องจ่ายค่าเช่าสูงๆ ขนาดนี้  ผมถือว่าไม่แพงเลยครับ  เราทานกัน 8 อย่าง มีเครื่องดื่ม ทั้งน้ำปั่น และ เบียร์ ราคาประมาณ  1,800  บาทครับ


MIX Restaurant and Bar
อาคาร B  ,  ชั้น 1  (ติดทางเข้าด้านหน้า)
ห้าง  PROMENADA  CHIANGMAI
084-612-7007



ป๋าปึกส์  
14/10/2556  

ขอแนะนำ ร้านโปรดของผู้เขียน
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html


ติดตาม คอลัมน์ แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวันใน  Facebook
ได้ที่  : http://www.facebook.com/SuebsaengSun




วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไก่ย่าง วิเชียรบุรี ... ต้นถนน สันกำแพงตัดใหม่ ... เชียงใหม่

ไก่ย่าง วิเชียรบุรี ... ต้นถนน สันกำแพงตัดใหม่ (ตีนสพาน น้ำคาว) ....  เชียงใหม่  


ทำไม  ไก่ย่าง  ...   ถึงต้องมาจาก    " วิเชียรบุรี "
คงมีหลายคนที่มี ข้อสงสัย   และไม่เข้าใจ  (เหมือนผม)  
เรื่องราว  มีอยู่ว่า    " ไก่ย่างวิเชียรบุรี "   ....   ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่อำเภอ วิเชียรบุรี   
วิเชียรบุรี  เป็น อำเภอปิด  ในจังหวัดเพชรบูรณ์   ...  ที่ต้องวิ่งแยกออกไปจาก ถนนเส้นหลัก  (สระบุรี-หล่มสัก)
เมื่อซักเกือบ 20 ปีที่แล้ว  ...  ที่แถวใกล้ๆ กับ  สามแยก ที่จะเข้าอำเภอวิเชียร์บุรี  ...  จะมีร้านไก่ย่าง  อยู่ร้านสองร้าน   ปิ้งไก่ย่าง  อยู่สองข้างทาง ควันโขมง ทุกวัน  ...   และมีร้านที่ขายดีที่สุด อยู่ร้านนึง  ชื่อว่า    " ร้านบัวตอง "   เป็นร้านยอดนิยม  ของผู้คนที่เดินทางผ่านมาย่านนี้   ซึ่งปัจจุบัน ร้านนี้ ก็ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ เลยครับ
พอเวลาล่วงเลยมา  ซักระยะนึง ร้านไก่ย่างย่านนั้น ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า  จนชาวบ้านย่านนั้น  ต่างแห่กันมาเปิด ร้านไก่ย่าง  ตรงสามแยกแห่งนี้ กันเป็น สิบๆ ร้าน ...  จนทำให้ ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาย่านนั้นเป็นประจำ  มักจะหยุดทาน ไก่ย่าง  กันที่สามแยกแห่งนี้  ...   จนรถ จอดกันยาวเหยียดทั้งสองข้างทาง จนเป็นที่ร่ำลือไปในจังหวัดใกล้เคียงว่า
" ถ้าจะทานไก่ย่าง ก็ต้องที่ สามแยก วิเชียรบุรี "

















                                 ลักษณะเด่น ของ ไก่ย่าง ของอำเภอวิเชียรบุรี  ... เค้าจะใช้เฉพาะ   ไก่พันธ์พื้นเมือง  เท่านั้น  ...  คัดเอาเฉพาะ  ไก่รุ่นกระทง (ไก่หนุ่ม) ...  เค้าไม่นิยม และ เลือกใช้ ไก่ที่เลี้ยงเพื่อเอาเนื้อ และ ไข่ มาขายแบบร้านไก่ย่างทั่วไป  ....    การเลือกใช้ไก่หนุ่ม ก็เพราะเนื้อไก่ยัง ไม่ทันเหนียว  ... ส่วน การหมักก็ใช้เครื่องเทศ เครื่องปรุง แบบร้านไก่ย่างทั่วไป  แต่ที่ไม่เหมือนไก่ย่างที่อื่น ก็ ตรงที่ แถววิเชียรบุรี  นิยมใช้ นมสด ในการหมักไก่ด้วย ครับ  
ที่เป็นเอกลักษณ์ ของ  ไก่ย่าง วิเชียรบุรี  ก็คือ  ...  หนังจะแห้งกรอบ เนื้อนุ่ม  และ ไม่ฉ่ำ จนแฉะเกินไป  ...  ส่วนน้ำจิ้ม รสชาติหน้าตา ก็จะออกคล้ายๆ  แจ่วของทางอีสาน   แต่  แจ่ว ที่วิเชียรบุรี   เค้าจะใช้    " มะขามเปียก "  เป็นหลัก  (คงเป็นเพราะ ที่เพชรบูรณ์  เป็นแหล่งปลูกมะขามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย)  
                                ไก่ย่าง ใกล้สามแยกวิเชียรบุรี  ได้รับการบอกต่อ  สู่ผู้คนที่สัญจรไปมาย่าน สระะบุรี-หล่มสัก จนเป็นที่นิยมของผู้คน  ...   จนกลายเป็นแหล่งที่ใครๆ  ก็จะมาแวะพักรถ และ พักเหนื่อยจากการเดินทาง ด้วยการมาทาน ไก่ย่าง ที่สามแยกแห่งนี้   ...  จนในปัจจุบัน มีร้านไก่ย่างเปิดใน ถนนเส้นนี้กว่า 30 แห่ง  ... ไม่รวมที่ตั้งเป็นแผงลอย   
ส่วนข้อสงสัยว่า    " มีการทำเป็น ธุรกิจแฟรนชาย  บ้างหรือไม่ ? "     
เท่าที่ทราบ  ในปัจจุบัน  ยังไม่มีใคร ทำเป็นตัวเป็นตน  ...   มีเพียงแต่บางร้านที่ขายดี  จนมีครอบครัวไปเปิดเพิ่ม  ในอำเภอ  และ จังหวัดอื่นๆ   
ใครๆก็สามารถ ใช้ชื่อ  " วิเชียรบุรี "  กันได้ครับ  ....   แต่จะได้รับการตอบรับด้วยดี หรือไม่นั้น  คงต้องขึ้นอยู่กับ  คุณภาพ และ รสชาติ ของไก่ย่าง ด้วยนะครับ  ไม่ใช่ชื่อเพียงอย่างเดียว ครับ   
นอกจากนั้น  ยังมี  ร้านไก่ย่างดังๆ ในอำเภอ วิเชียรบุรี  .....  เปิดคอร์ส สอนการทำไก่ย่าง แบบวิเชียรบุรี  ด้วยครับ  ...  เค้าเปิด คอร์สสอนกัน  คอร์ส ละหลายวันเลยครับ  ต้องไปพัก และ เรียนที่ วิเชียรบุรี   โดยคิดค่าเล่าเรียน นับหมื่น เลยทีเดียวครับ  
















                               มาถึง  " ร้านไก่ย่าง วิเชียรบุรี "    ที่ผมจะแนะนำใน วันนี้ครับ ....  ร้านนี้อยู่บน ต้นถนน สันกำแพงตัดใหม่ ครับ  ...  ถ้าเราขับรถมาจากสนามบิน มุ่งหน้ามาทางถนนมหิดล  ถนนที่ตรงมาจากสนามบิน  .. ข้ามสะพานแม่น้ำปิง  ตรง สำนักงาน ตำรวจภูธรภาค 5  ... ข้ามสะพานลอย มาเรื่อยๆ ผ่านสะพานลอยที่ข้าม ซุปเปอร์ไฮเวย์ มา ... ผ่านห้างใหม่  Promenada  ...  ข้ามไฟแดง (ตรงไปตาม เส้นทาง ที่มุ่งหน้าไปทาง น้ำพุร้อนสันกำแพง)  ....  จากสี่แยก ไฟแดงหน้าห้าง  Promenada   มาประมาณ 1 กิโลกว่า  จะเห็นมีสะพานเล็กๆ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำคาว  ....  แว๊บ  เข้าซ้ายมือ ก่อนถึงสะพานนี้เลยครับ                                 ร้านนี้เป็นเพิงเล็กๆ  ปิ้ง  ไก่ โชว์อยู่หน้าร้านเลยครับ  ... ผมไปหลายรอบ  เลยได้สอบถามรายละเอียด ความเป็นมาของร้านนี้  ปรากฏว่า  เป็น พี่น้อง กันกับ  ไก่ย่างวิเชียรบุรี  ที่ผมเคยเขียนแนะนำไว้  ที่ นิมมานฯ ซอย 11  นั่นเองครับ  ....  ถึงว่า  เวลาที่ผมมาซื้อไปทานทีไร รู้สึกว่า คุ้นๆ ทุกทีเลยครับ  ... ที่สำคัญ  เค้าขายเหมือนกันซะด้วยครับ  ... ไก่ย่างร้านนี้ ขายแบบ ไม่มีปีก ไม่มีน่อง  นะครับ ...  ใครชอบ ทานปีก ทานน่อง  ก็ต้องจ่าย  Option  ครับ  .....  แต่ที่ แน่ๆ ก็คือ ... รสชาติ ของไก่ย่างร้านนี้ อร่อยเหมือนกัน ทุกสาขาครับ  ... หนังแห้งกรอบ  ...  เนื้อนุ่ม รสชาติดี  ... ฉ่ำแต่ไม่แฉะ  ....  นอกจากไก่ย่างแล้ว ยังมีอีกหลากหลายเมนู  ทั้ง ลาบ .. ตับหวาน .. น้ำตก .. ส้มตำ (ไทย , ปู  ,  ปลาร้า ฯลฯ)


















ไก่ย่าง   ..........  
ไก่ย่างร้านนี้ ต้องบอกเลยครับ ว่า ได้รสชาติแบบ  วิเชียรบุรี  แท้ๆ เลยครับ ...  หนังแห้งกรอบ  เนื้อนุ่ม (หมักแตกต่างจากที่อื่น  ด้วยนมสด)  รสชาติไก่อร่อยในตัว ทานได้แบบไม่ต้องอาศัย น้ำจิ้ม ยังได้เลยครับ ... เสิร์ฟ มาพร้อมน้ำจิ้มแจ่ว แบบใส่น้ำมะขามเปียก  อร่อยเข้ากันดีครับ  ... แต่ใครจะ ทานปีก  ทานน่อง   ต้องสั่งต่างหากนะครับ  เค้าขายแยกกันนะครับ

ยำผ้าขี้ริ้ว   .........   จานนี้หาทานยกครับ  ...  ผ้าขี้ริ้วที่ไม่ได้ฟอกขาว (ปลอดภัยกว่าที่ฟอกขาว นะครับ)  ลวกมากำลังดี  ....  น้ำยาครบเครื่อง จนทานไปร้องไปเลยครับ ว่า   " แซ้บอีหลี ตั้ว "

ต้มแซ้บเนื้อ และ หมู  .........  รสต้มแซ้บ  แซ้บ สมชื่อครับ  ... เครื่องใน  เอ็น  ตุ๋นมาจนเปื่อย ก่อนปรุงรสเป็น ต้มแซ้บ   ...  อร่อยจนต้องแยกสั่งเพิ่ม เป็น ส่วนตัว ทุกเที่ยวครับ

ลาบหมู  .........   หมูสับ พร้อม หนังหมู และ ตับ  ... คลุกเคล้ามา ครบเครื่องด้วยเครื่องลาบ  ข้าวคั่วหอมฉุย รสชาติเข้มข้น  แต่ไม่ถึง ขนาดเผ็ด

ตับหวาน  .........   ตับหมูหั่นมาพอดีคำ  รวนมาสุกกำลังดี  รสชาติอร่อยครับ

ซุปหน่อไม้  .........   ซุปหน่อไม้แบบ อิสาน แท้ๆ ครับ

ส้มตำ  .........   ร้านนี้ถ้าใครชอบ  ส้มตำ แบบอิสาน แล้วละก้อ  ไม่ควรพลาด  ส้มตำปูปลาร้า เลยครับ ... จะเอาเผ็ดมากน้อย แค่ไหน  สั่งได้เลยครับ

ร้านนี้  เป็นร้านเป็นเพิงข้างทาง บ้านๆหน่อยนะครับ  ...  อาจจะร้อน และ ควันเยอะ ซักเล็กน้อย  ...  ผมเลย นิยมซื้อกลับมาทานที่บ้านมากกว่าครับ

ไปไม่ถูก สอบถามทางได้ที่    โทร   080-034-5889  



ป๋าปึกส์
8/10/2556

ขอแนะนำ ร้านโปรดของผู้เขียน
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2011/05/tengoku-de-cuisine.html

ติดตาม คอลัมน์ แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวันใน  Facebook
ได้ที่  : http://www.facebook.com/SuebsaengSun





วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

137 Pillars House ... เชียงใหม่

2 ห้องอาหารอร่อย  ใน โรงแรม  137 Pillars House   ...    ย่านวัดเกตุ  ...  เชียงใหม่  


                            ก่อนที่จะเริ่ม เรื่องอาหาร ของ 2  ห้องอาหารอร่อย ใน โรงแรม   137 Pillars House
คงต้องเล่าเรื่องราว ความเป็นมาแบบ ย่อๆ  ของ ย่านวัดเกตุ ก่อนนะครับ  .... เพราะโรงแรม แห่งนี้ ตั้งอยู่ในย่าน ธุรกิจการค้าเก่าแก่  ริมแม่น้ำปิง  กลางเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกกันว่า  " ย่าน วัดเกตุ "  ครับ

" วัดเกตุ "   เป็นย่าน การค้า ที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ ประมาณ ปี พ.ศ.2317
หลังจากที่ เชียงใหม่ พ้นจาก การปกครองของพม่า ... บ้านเมืองก็เริ่มมีความสงบ  จนมีการอพยพเข้ามาค้าขาย และ ตั้งถิ่นฐาน ในย่านวัดเกตุ อย่างต่อเนื่อง ย่านนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ที่ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่  ที่หล่อเลี้ยงประชากร ที่อาศัยอยู่สองฝั่งน้ำ  จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง ในการทำมา ค้าขาย ในยุคนั้น  ...  ผู้คนที่เข้ามาค้าขาย และ ตั้งรกราก ส่วนใหญ่ จะเป็นพ่อค้า เชื้อสายจีน และ ฝรั่ง
จึงทำให้เราได้เห็น  อาคารเก่าแก่ในย่านนั้น เป็นสถาปัตยกรรมจีน ผสมผสาน กับ สถาปัตยกรรมแบบฝรั่ง และ สถาปัตยกรรมแบบล้านนา
มีคนหลากหลายเชื้อชาติ  อพยพเข้ามาอาศัย และ ค้าขาย ในย่านนี้
นอกจาก  คนจีน , คนอินเดีย (ชาว ซิกข์) , ชาวฝรั่งเศส  ฯลฯ   ที่เข้ามาค้าขายแล้ว .. ยังมีชนชาติอื่นๆ ที่เข้ามา ประกอบกิจ และ กิจการอื่นๆ  อีก เช่น
ชาวอเมริกัน ... ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา และ ตั้งโรงพยาบาล แมคคอร์มิค , โรงเรียนดาราวิทยาลัย , โรงเรียนปริส์รอแยล , โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน , มหาวิทยาลัยพายัพ
ชาวอังกฤษ  ...  ที่เข้ามาทำไม้   (บริษัท บอร์เนียว)
และอาชีพอื่นๆ อีกมากมาย














ความเป็นมา ของ  137  Pillars House  (บ้าน 137 เสา)
บ้าน  137 เสา เคยถูกใช้เป็น บ้านพักของผู้จัดการ บริษัทอีสบอร์เนียวฯ
บริษัท อีสต์บอร์เนียว ได้รับสัมประทาน การทำป่าไม้ในเชิงพานิชย์ อย่างถูกกฏหมาย มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ.1889) ... ในสมัยที่   เชียงใหม่ ยังอุดมไปด้วย ป่าไม้สัก
มาจนถึง สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2  .....  ในปี พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) กองทัพ ญี่ปุ่น ได้เข้ามา ควบคุมเมืองเชียงใหม่ เลยทำให้ ผู้จัดการบริษัท บอร์เนียว ในยุคนั้น ต้องอพยพหนีเข้าไปอยู่ใน ประเทศพม่า และ ปล่อยบ้านหลังนี้ ทิ้งไว้อย่างว่างเปล่า
พอสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2  ...  คุณ วิลเลี่ยม เบน  (บิดาของ ลุงจรินทร์(แจ๊ค) เบน ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ในการก่อตั้ง พิพิธภัญฑ์ วัดเกตุ) ได้เข้ามาซื้อบ้านนี้ จาก บริษัท อีสต์บอร์เนียว  และ ตั้งถิ่นฐาน ที่บ้านหลังนี้
จนมาเมื่อ ปี พ.ศ.2545 ... ได้มีนักธุรกิจ ชาวไทย จากกรุงเทพฯ  เดินทางมาเที่ยวที่เชียงใหม่  และ ได้พบกับบ้านหลังนี้ และ ตกหลุมรัก บ้านหลังนี้ ตั้งแต่แรกเห็น
จึงขอซื้อบ้านหลังนี้ ที่รู้จักกันในนาม  " บ้านดำ "  ....   เพื่อปรับปรุง และ สร้างอาคารเพิ่มเติม เพื่อเป็นที่พัก (โรงแรม)
โดยเปลี่ยนชื่อ จาก  " บ้าน 137 เสา "  มาเป็น   " 137 Pillars  House "   ....  เป็นการ นำเอาชื่อเดิม มาเรียกขานใหม่  ให้เป็น สากล มากขึ้นนั่นเองครับ
เอาหละครับ  ....  มาเข้าเรื่อง  ร้านอาหารที่ผม จะแนะนำในวันนี้เลยครับ













                              โรงแรมนี้ อยู่ในย่านวัดเกตุ  หากขับรถลงมาจาก สพานนวรัฐ แล้วเลี้ยวซ้าย .. แล้วขับผ่าน Good View  ร้านอาหารชื่อดัง ริมน้ำปิง ... พอสุดร้านนิดเดียว ก็จะมี สามแยก ที่มี โชว์รูม Isuzu  ที่เก่าแก่คลาสสิค  ... เลี้ยวขวาเข้าไปเลยครับ  ...  เข้ามาซัก 50 เมตร ก็เจอสามแยก  เลี้ยวซ้าย ไปอีก 20 กว่าเมตร  ก็ เลี้ยวขวาอีกทีนึงครับ  ....  เลี้ยวมาก็ จะเห็น  โรงแรม 137  Pillars House  เลยครับ  .
                              ตอนที่ ผมมาที่นี่ ครั้งแรกก็ได้เจอกับ  " คุณเป้า "   ผู้จัดการโรงแรม  (ตอนนั้น เป็นเพื่อนของเพื่อนผม อีกทีนึงครับ)     เป็น คนพาเดินชมเองเลยครับ ...  โรงแรมนี้ อยู่ในพื้นที่ 5 ไร่กว่า  ออกแบบได้กลมกลืนกับอาคารที่มีอยู่แล้ว เป็นอย่างดีครับ  ... ตกแต่งภายใน ได้ถูกใจผมซะเหลือเกินครับ  ....  พื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมนี้  ทำไว้อย่างมี บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกว่า อบอุ่น  ดีครับ  ...  มีห้องสมุด .. สปา .. สระว่ายน้ำ ริมกำแพงต้นไม้ ที่สวยงาม .. มีห้องดื่มน้ำชา ยามบ่าย  ... ห้องอาหารแบบ ทานอาหารส่วนตัว .. และ ห้องอาหาร Dinning Room  ที่ผมมาทานวันนี้ ครับ

ที่โรงแรม นี้ มีห้องอาหาร 2 ห้องด้วยกันนะครับ
ช่วงเวลา อาหารกลางวัน   เค้าจะเปิดในห้องอาหาร ด้านหลังอาคารเก่าแก่คลาสสิค และ มีรายการอาหารส่วนใหญ่  เป็น  อาหารไทย ครับ
ส่วนช่วงเย็น  จะเปิด ห้องอาหารทั้ง 2 ห้อง  ...  ที่ห้องอาหารไทยห้องเดียวกันกับมื้อกลางวัน  และ   อาหารฝรั่ง   ที่ห้องอาหาร   Palette    สุดสวย ในอาคาร  137 เสาเลย ครับ
แต่ถ้าใครอยากทานอาหารฝรั่งตอนกลางวัน  ก็สามารถ จองล่วงหน้าได้นะครับ
ห้องอาหารทั้ง  2  ห้อง   ตั้งอยู่ในตัวอาคาร   137  เสา  ที่มีอายุเก่าแก่  แต่ได้ปรับปรุงและตกแต่ง ให้เป็น ห้องสมุด   ,  ห้อง Palette   ,   ห้องอาหารไทย (ด้านหลัง)  และ  ห้องดื่มน้ำชา  (บรรยากาศดีมากครับ)















ผมไปทานที่นี่ครั้งแรก  ก็ไปทานอาหารไทย  ที่ด้านหลังอาคาร  137  ครับ  (5/10/2556)
คุณเป้า ผู้จัดการโรงแรม  เป็น ผู้ช่วยแนะนำ อาหาร  ให้ครับ  วันนั้นสั่งมาทานหลายอย่างเลยครับ
ต้มข่าไก่รมควัน .. ไก่สะเต๊ะลือ .. ยำมะม่วงปลาแซลม่อน .. กุ้งข้าวเม่าหมี .. โรตีแกงเขียวหวานไก่ .. แกงคั่วส้มหมู .. แกะพริกไทดำรากบัว  ...  พร้อมข้าวกล้อง  .......  เยอะเลยนะครับ
มีอาหาร  หลายจาน  ที่ผมชอบ ครับ  เช่น

คั่วส้มหมู  ..........   จานนี้ใช้เนื้อหมูสามชั้น  ซึ่งตอนที่ ก่อนเค้าจะยกจานนี้ มาที่โต๊ะ  ผมแอบนึกในใจว่า  มันคงจะเป็น หมูแบบมันเป็นแถบๆ เส้นใหญ่ๆ  และคงมี รสมัน นำหน้า มาแน่นอนเลยครับ  
แต่ ไม่ได้เป็นอย่างที่ผม จินตนาการเลยครับ  ....  เค้าเลือกใช้ เนื้อหมูสามชั้นก็จริงแต่ เค้าคัดเอาเฉพาะ ส่วนที่ มี มัน ไม่เยอะอย่างที่คิดครับ  ....  หมูสามชั้นหั่น และ แล่เป็นแผ่น  ชิ้นขนาดพอดีคำ .. เคี่ยวมาจนเปื่อยนุ่ม  รสชาติเครื่องหมัก เข้าเนื้อดีครับ   ...   วางไว้บน  แกงคั่วส้ม  ที่ น้ำแกง มีรสชาติ กลมกล่อมครบรส  มีรสเปรี้ยวนำหน้าเล็กน้อย   รสชาติออกจะคล้ายๆกับ  แกงเทโพ   มีก้านผักบุ้งไทย ชิ้นกำลังดี สุกนุ่ม รองมาด้านล่าง   ....  แค่เอาน้ำแกง ราดข้าวเปล่าๆ ก็อร่อยแล้วครับ

กุ้งข้าวเม่าหมี  .........   กุ้งแม่น้ำตัวโต สีสวย   ..   ที่ทำมาแบบ สุกกำลังดีเลยครับ  ...  ในหัวกุ้ง ยังคงมี  มันกุ้งที่สุกแบบ ยางมะตูม เยิ้มอยู่ใต้เปลือก  ....  โรยด้านข้างมาด้วย   ข้าวเม่าทอดสีน้ำตาลอมเหลือง  และ เส้นหมี่ทอดกรอบสีสวย   ....  เสิรฺฟมาพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด  คล้ายๆ น้ำจิ้มทะเล  แต่ไม่เผ็ดมาก  ... จานนี้  ผมลงมือ ตักเนื้อกุ้ง แจกให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น จนหมด  (ไม่ได้จะเอาใจ เพื่อนนะครับ)  แล้วผมก็ ยกมาใส่จานทั้งหัวเลยครับ  ...  เอา ช้อนซ่อม ง้างเอาขาออก  .. แล้วก็ตักเอา มันกุ้ง ที่ในหัว ที่สุกแบบยางมะตูม  สีส้ม ปน เหลือง  คลุกข้าวสวย ร้อนๆ  .. ราดด้วยน้ำจิ้มที่เสิร์ฟมา  ....  โอวววววว  สุด สุด ครับ

ต้มข่าไก่รมควัน   .........  ปรกติ ต้มข่าเป็นอาหารไทยจานโปรดของผมเลยครับ ไปร้านไหน สั่งมาลองร้านนั้นเลยครับ  ...  ต้มข่าที่นี่ รสชาติ อาจจะไม่จัดจ้านนัก  แต่ ก็อร่อยครับ  ...  ครบเครื่อง ครบรส แต่อาจจะเบาไปหน่อย  สำหรับคนชอบรสจัดจ้านนะครับ  ...  แต่ชามนี้ ซดเป็นซุป ตอนเริ่มต้น  เหมาะเลยครับ  ...  ส่วนที่ทำให้ ต้มข่าที่นี่  น่าสนใจกว่าที่อื่นก็ตรง  การใช้ ไก่รมควัน มาสไลดส์บางๆ แล้ว ใส่ลงไปใน ต้มข่า นี่แหละครับ  ...  รสชาติ และ กลิ่นหอม ของไก่ รมควัน  ช่วยทำให้ จานนี้  อร่อยขึ้นอีกเยอะเลยครับ

ยำมะม่วงปลาแซลม่อน  .........  เป็นการผสมผสาน ที่ ลงตัวดีครับ  ...  ปลาแซลม่อน สไลด์บาง เอามา คลุกเคล้า กับ  มะม่วงยำแบบไทยๆ  ....   รสชาติของ ปลาแซลม่อน แบบฝรั่ง  กับ ยำมะม่วงแบบไทยๆ   ก็อร่อย  เข้ากันได้ดีครับ



















                             และ เมื่อวานนี้เองครับ  (24/4/2557)  ผมเห็น โฆษณา ของโรมแรม  137  จาก  Facebook  ของเพื่อน  ...  เห็นทางโรงแรม แจ้งว่า มี Executive Chef   คนใหม่ มาเริ่มงานที่โรงแรม สดๆ ร้อนๆ เลยครับ  ...  ผมเลยรีบจัดการโทรนัด ทั้งครอบครัว  แล้วก็ ส่งข้อความไปจองทาง Facebook  ของ คุณเป้า (ผู้จัดการ)  เลยครับ

ห้องอาหารฝรั่งร้านนี้ ชื่อ  Palette  ...  ตั้งอยู่ใน โรงแรม 137  Pillars เลยครับ
การตกแต่ง ทั้งภานนอก และ ภายในอาคารนี้ ต้องถือว่า เนี๊ยบและสุดคลาสสิคเลยทีเดียวเลยครับ
เมื่อวานมาถึง ที่นี่ประมาณ 6 โมงกว่าๆ อากาศตอนเย็นที่นี่ ถึงแม้ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของเมืองเชียงใหม่  แต่ด้วยความที่ ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ  เลยทำให้รู้สึก เย็นสบายขึ้นได้เลยครับ  บรรยากาศในโรงแรมนี้ เวลาเข้ามา แล้วรู้สึกอบอุ่น ไม่วังเวง  ดีจริงๆเลยครับ
ด้านหน้า อาคารเก่าแก่  มี สระว่ายน้ำ และ กำแพงต้นไม้ ที่สูงกว่า 10 เมตร
และ มีเก้าอี้โซฟา วางไว้เป็นจุดๆ  เหมาะอย่างยิ่งกับ การสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ  มานั่งจิบ ก่อนเข้าไปทานอาหาร ซะเหลือเกินครับ
เมื่อวานที่ผมไป เป็นวันแรกๆ ของการทำงานของเชฟ คนใหม่ล่าสุด ที่กำลังจะทำรายการอาหารเมนูใหม่ ในห้องอาหารนี้   แต่ยังไม่ได้ เซ็ทเมนู เพื่อขาย   และโชคดีเหลือเกินครับ ที่ คุณเป้า(ผู้จัดการ)  บอกเชฟให้มาทำ เมนูใหม่ ที่เพิ่งเริ่มทำวันแรก  มาให้ผมและ ครอบครัวได้ลองเลยครับ
ต้องขอบอกว่า   การตกแต่งจาน และ รสชาติของอาหารฝรั่งที่นี่ ไม่แพ้ เชฟฝรั่งเลยครับ
เมื่อวาน เลยเป็น จานอาหารเพื่อให้ลองได้หลายๆอย่าง  อาหารในจานเลย อาจจะดูเล็กไปเล็กน้อย แต่แค่นี้ก็อิ่มแปร้แล้วครับ  ....

















Grape Champagne Jelly   ..........   จานแรก เป็น อาหารเรียกน้ำย่อย .. ประกอบด้วย ปลาแซลม่อนจากนอร์เวย์  หั่นเป็นชิ้น แบบ ลูกเต๋าเล็กๆ คลุกเคล้ามาด้วยซ้อสที่ทำจากส่วนผสมจาก แชมเปญ พร้อม องุ่น และ มะเขือเทศ ที่หั่น เป็นลูกเต๋า แบบไม่เอาเมล็ดหั่น แบบเดียวกัน  ...  รสชาติ ปลาแซลม่อน ผสมผสานกับ เนื้ออง่นเขียว และ มะเขือเทศ และ แชมเปญ  อร่อยแบบ เปรี้ยวเล็กน้อย อมหวาน นิดหน่อย และ ความซาบซ่า ของแชมเปญ ยิ่ง ขับให้ รสของปลาแซลม่อน ลอยเด่นอบอวลอยู่ในปากเลยทีเดียวครับ

Fresh Tuna Carpaccio   ..........   จานนี้ ยกมาถึงต้องถ่ายรูปเลยครับ  จัดจานมาแบบ สสัน ตัดกัน โช้งเช้ง สวยจังเลยครับ  .. ปลาทูน่า ที่คลุกเครื่องปรุงหมักมาแบบรสกลมกล่อม ดีเลยครับ  ...  เสิร์ฟมาพร้อมเห็ดหอมนึ่ง ที่ซอยมาเป็นชิ้นเล็กๆ  และ หัวบีทรูทเชื่อม และ อโวคาโด  ...  รองจานมาด้วย ซ้อสมะขาม รสอร่อย  ....  อร่อยแปลกแบบสดชื่นดีครับ

พอจบจานนี้ เค้าก็ยก   Orange  Sherbet   ตามแบบฉบับ ของธรรมเนียมอาหารฝรั่ง ที่เอาทาน เพื่อมาล้างปาก ก่อนเข้ามาถึง  Main Course

Scared Alaska Scallops and Fresh water Prawn   ..........  อาหารเมนคอร์ส จานแรก เป็น กุ้งแม่น้ำ(ฝรั่ง)  อบ และ หอยเชลส์ อลาสก้า ที่ย่างแบบเกรียมเล็กน้อย เสิร์ฟมาพร้อม มะม่วงกับสัปปะรด หั่นแบบลูกเต๋า ที่ คลุกเคล้าปรุงรสมาแบบลงตัว  เคียงเครื่องมาด้วย เนื้อปูปั้นมากับหอมใหญ่  ... อร่อยครบรสดีครับ

Beef  Tenderloin   ..........  อาหารเมนดอร์สอีกจานนึง เป็น เนื้อสันในย่าง .. เคียงข้างมาด้วย เห็ดหอมย่าง และ วูฟท์เบอรี่  พร้อมด้วย รากบัวบด  ... โรยข้างมาด้วย พาร์ม่าแฮมอบกรอบ  ....  จานนี้แลดูเหมือนจะเล็ก  แต่ว่า มันก็พอดีกับการทาน เมนคอร์ส ของ จานนะครับ













แล้ว มีต่อท้ายด้วยของหวาน  ...  แต่ผมไม่ทานทานครับ เพราะคิดเอาเอง ว่า ของหวานอาจจะไป ทำลาย รสสัมผัส ของ ลิ้น ...  ที่กำลัง รับรส ของ แอลกอฮอลล์ บางๆ  ของไวน์แดง ที่จิบอยู่ ครับ  ....  5555

ขอขอบคุณทางโรงแรม ที่กรุณาลดราคาอาหาร ในวันนี้ ให้ผมด้วยนะครับ  ...  วันนี้คณะผมใช้เวลา ทานอาหารและเดินชม โรงแรมกันอย่างเพลิดเพลิน  ...  เผลอแป้บเดียว หมดไปเกือบ 3 ชั่วโมงเลยครับ  ...
แน่นอนครับ  ราคาอาหารในโรงแรมส่วนใหญ่  มักจะมีราคาสูงกว่า ร้านอาหารนอกโรงแรม เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วครับ  ...  แต่ถ้าอาหารอร่อยแบบนี้   บริการดีๆ แบบนี้
ผมว่าก็คุ้มค่า  เหมาะ กับการพาแขก คนสำคัญ  ไปนั่งชื่นชมบรรยากาศดีๆ  และ ทานอะไรอร่อยๆ   นะครับ

ลองเปิดดู  รายละเอียด ของร้านอาหารและ โรงแรม  137  Pillars House  ใน  Web  ด้านล่างดู นะครับ
 http://137pillarshouse.com/ 

137  Pillars  House
2 ซอย 1  ,  ถนนหน้าวัดเกตุ
ตำบล วัดเกตุ  ,   อำเภอเมือง
เชียงใหม่   50000



แผนที่ร้านอาหารทั้งหมด ที่ผมเขียนแนะนำ ไว้ใน   " แนะนำ ร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ "
https://mapsengine.google.com/map/edit?authuser=0&hl=en&mid=zi7qOsZPeff0.kmjHpvkh5cmM 




ป๋าปึกส์
25/4/2556  

ขอแนะนำ ร้านอาหารร้านโปรด ของผู้เขียน
http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html

ติดตาม การแนะนำ ร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์   ได้ทุกวัน ใน  Facebook   ที่
https://www.facebook.com/SuebsaengSun



วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้าวซอย สุธาสินี 3 ... ช้างคลาน เชียงใหม่


ข้าวซอย สุธาสินี 3  ...   บนถนน ช้างคลาน  ...   เชียงใหม่  



                                 ทุกครั้งที่ผมเขียนถึงร้าน  " ข้าวซอย "   ... ก็คงต้องเกริ่นนำ เรื่องราวความเป็นมา ของ ข้าวซอย   กันซักหน่อยนะครับ   ....  " ข้าวซอย "    มีถิ่นกำเนิดมาจาก ชาวจีนมุสลิม  ที่อพยพจาก ประเทศจีน ทางตะวันตกเฉียงใต้   ....   เข้ามาตั้ง รกราก ทางตอนเหนือ ของ ประเทศไทย และ ประเทศลาว  ....   ชาวจีนเชื้อสายมุสลิม  กลุ่มนี้  เรียกว่า    " จีนฮ่อ "  .....   เลยทำให้ ข้าวซอย ที่เข้ามาเผยแพร่ใน ภูมิภาคนี้   มีชื่อ เรียกกันว่า    " ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ "  
                                 " ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ "  จะคล้ายๆกับ  ก๋วยเตี๋ยวแกง ของชาวมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทย  ...  แตกต่างกันก็ตรงที่   เวลาแกง  ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ  เค้าจะไม่ใส่   " กะทิ "   ซึ่งทำให้ คนไทยทางภาคเหนือใน ยุคแรกๆ ที่เห็น ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ   เรียกอาหารชนิดนี้ว่า   " ข้าวซอย น้ำใส "   
                                  ที่เกริ่นนำมาก็เพื่อจะเข้าเรื่อง  ข้าวซอย ของร้านนี้ นี่แหละครับ ... มี ผู้อาวุโส ชาวจีนฮ่อ  เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ข้าวซอย ในภาคเหนือของไทยไว้ว่า   ....  สมัยแรกๆ ที่ชาวจีนฮ่อ นำอาหารชนิดนี้ เข้ามารับประทานกันในประเทศไทย  จะมีเฉพาะ แกงเนื้อ และ แกงไก่ เท่านั้น  ที่สำคัญ ของดั้งเดิม เค้าแกงกันแบบไม่ใส่ กะทิ  ...  พอต่อมา คนไทยที่อยู่ทางเหนือ เริ่มเอาไปดัดแปลง ด้วยการใส่ กะทิ  ลงไปในแกง เพื่อให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น  ....  พอ ข้าวซอย เริ่มได้รับ ความนิยม กว้างขวางขึ้น  จึงมีการเปิด ร้านข้าวซอย กันทั่วทุกหัวระแหง  ....  และ หนึ่งใน ร้าน ข้าวซอย  ที่ดัดแปลง เอา กะทิ ไปใส่ในแกง เป็นเจ้าแรกๆ  ก็คือ  ร้านที่ผมแนะนำ มาในวันนี้ นี่แหละครับ   " ข้าวซอยสุธาสินี "    ครับ
















                                ร้านข้าวซอย สุธาสินี  เป็นร้าน ข้าวซอยมุสลิม แท้ๆ  ....  แน่นอนครับ ร้านนี้เลยมี  ข้าวซอยเนื้อ และ ข้าวซอยไก่  เท่านั้น  (ไม่มี หมู นะครับ)  ...  นอกจากนั้นยังมีอาหารอีกหลากหลายอย่างให้เลือกครับ  ไม่ว่าจะเป็น   ข้าวหมกไก่  ,  ข้าวหมกแพะ  ,  ข้าวแกงกระหรี่  ,  ข้าวหน้าเนื้อ  ,  สลัดแขก  ,  ซุปหางวัว  ,  ซุปเนื้อตุ๋น  ,  สะเต๊ะไก่  ...  ฯลฯ   ......  แต่มาร้านนี้  ที่พลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด  ก็คงต้อง   " ข้าวซอย "   ครับ

ข้าวซอยไก่ - เนื้อ  .........   ทันทีที่ยกมาถึง ก็ เรียกน้ำย่อยในท้องผม ให้ส่งเสียงร้องกันระงม แล้วครับ  ...  สีสันของ น้ำแกงข้าวซอย ร้านนี้ นี่ซิครับ  ... เหลืองอมส้ม สวยงาม  ราดมาด้วยกะทิ ขาวมัน มาเล็กน้อย ... โรยหน้ามาด้วยเส้นบะหมี่ทอด  ....  เส้นข้าวซอย ของร้านนี้ นุ่มและเหนียวกำลังดีครับ  ...  ตักน้ำแกง ชิมคำแรก สัมผัสได้ ทั้งกลิ่นและรสชาติ แบบ จีนฮ่อ เลยครับ
เค้าเสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียง ที่มีทัง ผักกาดดอง .. พริกเจียว ..  หอมแดงสด  และ  มะนาว
ที่พิเศษกว่า หลายๆร้าน ก็คือ   " ผักกาดดอง "   ครับ ...  ผักกาดดอง ของร้านนี้ ดองมาตามแบบฉบับของ จีนฮ่อ แท้ๆเลยครับ  ...  เค็มเล็กน้อย  มีสีสัน และ รสชาติ ของพริกแดงให้สัมผัส แต่ไม่ถึงกับ เผ็ด  ....  ชาว จีนฮ่อ  จะนิยมใช้  ผักกาดดอง ที่ดองเกลือ มาปรุงรสอาหารที่ต้องการให้เค็ม  แทนน้ำปลา ครับ (ในเมืองจีนสมัยก่อน ไม่ใช้ น้ำปลาครับ)  ....  " พริกเจียว "  ...  พริกคั่วที่เอาไปโขลกจนละเอียด เจียวน้ำมัน มาจนเผ็ดได้ใจ  เหยาะลงไปในข้าวซอยซักนิด  สีสันเปลี่ยนเป็นแดงสวยเลยครับ   ... ได้รสชาติเผ็ดมาเล็กน้อย  ใส่ผักกาดดองไผหมดจาน  หอมแดงไปหมดจาน  บีบมะนาว ไปหนึ่งซีก  ....  โอววววววว  ...  อร่อยจริงๆ ครับ

ข้าวหมกไก่   .........  ข้าวหมก สีเหลืองสวย  หอมกลิ่นเครื่องเทศ โชยมาตั้งแต่ยกมาแล้วครับ   ...  ไก่นุ่ม  รสชาติเข้าเนื้อ  โรยหน้ามาด้วยหอมแดงทอด  ...  น้ำจิ้มที่เสิร์ฟมา  เข้ากัน ดี๊ดี  ครับ

ซุปหางวัว   .........   ซุปที่เหมาะกับการซด ให้ลื่นคอ และ เข้ากันได้ดี กับ ข้าวหมก ซะเหลือเกินครับ  ...  ซุปหางวัว  ตุ๋นส่วนหางมาจนเปื่อน ปรุงรสมาด้วยมะนาว โรยพริกขี้หนู ที่ตีมาให้แตก ... เปรี้ยว .. เค็ม .. เผ็ด    แบบลงตัว เลยครับ


















                             มาร้านนี้ทีไร  ผมก็มักจะเริ่มด้วยข้าวซอย ไก่ หรือ เนื้อ .. แล้วมักต่อด้วย  ข้าวหมกไก่  แล้วก็ตบท้าย ด้วย ซุปหางวัว  นี่แหละครับ  ...  แค่ 3 อย่างนี้ ...  ก็อิ่มแปร้ แบบไม่สามารถ  ลองชิมเมนูอื่น ต่อได้เลยซักทีครับ  ...  เลยแนะนำอาหารในร้านนี้ได้แค่  3 รายการ นี้ เท่านั้นเองครับ
                             ร้านนี้อยู่บน ถนน  ช้างคลาน  ....  หากขับรถ ผ่าน  ไนท์บาร์ซาร์  ก็ตรงมาเลยครับ  ผ่านโรงแรม เอมเพรส ... ผ่านสีแยกไฟแดงที่ โรงแรม ล้านนาพาเลส  มาไม่ถึง กิโล  ก็จะมีตึกแถวเป็นแผง อยู่ด้านซ้ายมือ  ...  สังเกตุง่ายๆ ก็คือ  มักจะมี  รถจอด อยู่ริมถนนค่อนข้างเยอะ หน่อย  อยู่ใกล้กันกับร้านข้าวแกง หาดใหญ่โชคดี   ....   ลองดูใน แผนที่ ด้านล่างได้นะครับ
                             ร้านนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เช้า  ถึง บ่ายสี่โมง เลยครับ  ...  มีบริการจัดเลี้ยง นอกสถานที่ด้วยครับ  .... เลยเอาเบอร์มาฝากด้วยครับ   .....   053-820-544


แผนที่  ร้านอาหารทั้งหมด ที่เขียนแนะนำไว้ใน   " แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ "
https://mapsengine.google.com/map/edit?authuser=0&hl=en&mid=zi7qOsZPeff0.kmjHpvkh5cmM


ป๋าปึกส์  
3/10/2556  

ขอแนะนำ ร้านโปรดของผู้เขียน
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html

ติดตาม คอลัมน์ แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวันใน  Facebook

ได้ที่  : http://www.facebook.com/SuebsaengSun






วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โจ๊ก ประตูสวนดอก ... ที่ เชียงใหม่

โจ๊ก ประตูสวนดอก  (โจ๊ก และ เกาเหลาเลือดหมู)  ... ก่อนถึง ประตู สวนดอก  ...  เชียงใหม่  


                       โจ๊ก  ถูกจัดว่าเป็น  ข้าวต้มชนืดนึง ที่ใช้  " ปลายข้าว "  นำมาต้มจนเละ  ... เป็นที่ นิยม ของคนไทยเชื้อสายจีน และ คนเชื้อสายจีน ในหลายประเทศ ใน เอเชีย  ...  นิยมนำมา รับประทานเป็น อาหารเช้า หรือ อาหารมื้อค่ำ แทน อาหารหลักบางมื้อ
                        ในเทศกาล ตรุษจีน  ... ชาวจีนในอดีต จะมี ข้อห้ามไม่ให้  กินโจ๊ก ในวันตรุษจีน  ...  เพราะเชื่อกันว่า   เปรียบเสมือน การขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย  ...  ที่เป็นเช่นนั้น เพราะในอดีต ในประเทศจีน  มีแต่คนที่ ฐานะไม่ดีเท่านั้น ที่จะเอาปลายข้าว มาต้มกิน  (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
                        คำว่า  โจ๊ก  ที่คนไทยเรียกกันมานาน เป็นการเลียนเสียง มาจากภาษากวางตุ้ง  ซึ่ง เรียกโจ๊ก ว่า    " จุ๊ก "   (粥 dzuk)















                        กล่าวนำเรื่องโจ๊กมาหน่อยนึง นะครับ  ...  จะได้เกล็ดความรู้กันบ้าง  ไม่มากก็น้อยนะครับ ...  ร้าน  โจ๊กสวนดอก  ที่ผมแนะนำ ในวันนี้ ไม่ได้มี แค่ โจ๊ก  ที่อร่อยเท่านั้นนะครับ  ...  ยังมี เกาเหลา เครื่องใน และ เลือดหมู  ที่อร่อยไม่แพ้ใครเลยทีเดียวครับ
                       ผมผ่านร้านนี้ มานับร้อยๆ ครั้งแล้วครับ ... แต่ไม่เคยแวะไปทาน ซักทีครับ  ...  เพราะ ช่วงสายๆ เวลาผ่านร้านนี้ทีไร  ก็เห็นรถจอดเต็มหน้าร้านทุกเที่ยวไปครับ   ...  จนมาเจอรุ่นน้อง ที่เห็นผมชอบไปทาน โจ๊กตอนเช้าๆ ที่กาดธานนินทร์  บ่อยๆ  ...  มาบอกผมว่า  ให้ผมลองมาร้านนี้ดูซิครับ  เค้าเปิดตั้งแต่ยังไม่สว่างเลยครับ ....  วันนี้เลย มาแต่เช้าเลยครับ
                       ร้านนี้มาไม่ยากครับ บ้านผมอยู่แถวๆ ซุปเปอร์ ก็ขับตรงมุ่งหน้ามาแยกรินคำ (สี่แยกที่กำลังจะมีศูนย์การค้า  MAYA  กำลังจะเปิดใหม่ สิ้นปีนี้ครับ)  ..  เลี้ยวซ้ายมาเลยครับ  ขับเข้ามาถนนรอบนอกคูเมือง ที่ แจ่งหัวริน  แล้ว ชิดขวา  ...  ยูเทิร์น เข้ามาถนน คูเมืองด้านใน เลยครับ ... แล้วก็เลาะคูเมืองไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึง ประตูสวนดอก (ซัก 100 เมตร ก่อนถึง ประตูสวนดอก)  ...  ชิดซ้ายหาที่จอดรถเลยครับ ... สังเกตง่ายๆ ก็ตรงที่ มีรถจอดหน้าร้านเยอะๆ ตั้งแต่สว่างเลยครับ
















                        ร้านนี้มีชื่อว่า  " โจ๊ก ประตูสวนดอก "   มี โจ๊ก และ ข้าวต้ม มากมายหลายแบบให้เลือกครับ  ...   มีทั้ง  หมู .. ไก่ .. กุ้ง .. ปลา   ....   นอกจากนั้น ยังมี เกาเหลาเครื่องใน และ เลือดหมู  ...  ปาท่องโก๋  กับ นมข้นหวาน  .. ชา  กาแฟ  และ ไข่ลวก  ครับ

โจ๊กหมู ใส่ไข่   .........   โจ๊กร้านนี้ ใช้ปลายข้าวอย่างดีครับ  ต้มจนเปื่อย แต่ยังมีตัว  (บางร้าน เล่นเอาปลายข้าว ไปปั่นในเครื่องปั่น แล้วเอาไปต้ม .. ยังไม่พอครับ ใส่แป้ง ลงไปต้ม เพื่อให้เหนียวอีกด้วยครับ) ...  หมูสับ ก็ปรุงรสมากลมกล่อม  ...  ไข่ที่ใส่มา ก็ลวกสุกกำลังดีครับ  ...  เติมน้ำส้มพริกดอง เหยาะซีอิ๊วขาว ซะนิดนึง .. ฉีก ปาท่องโก๋  ใส่ซะหน่อยนึง  .....  โอววววววว  ...  โหววววว  เส็ก  เลยครับ

เกาเหลาเลือดหมู ไม่ไส้ ไม่เพาะ  .........   ที่ผมสั่งแบบนี้ ก็เพราะ  ไส้ กับ กระเพาะ สำหรับผม มันเคี้ยวยากครับ ....  55555  ...  ก็คนเริ่มมีอายุ  ระบบย่อย ต้องดูแลรักษาให้มันใช้ได้นานๆหน่อยครับ
เกาเหลา ใส่เครื่องในมาชิ้นกำลังพอดีคำ ครับ ... ม้าม .. ตับ .. เซี่ยงจี๊ .. หมูชิ้น .. หมูสับ  ... สุกกำลังดีครับ  ... เลือดหมู สุดยอดครับ ให้มาเยอะดีครับ  ....  น้ำแกงหวานดีครับ มีกลิ่นคล้ายๆเห็ดหอม ลอยมาจากน้ำแกง หอมชื่นใจดีครับ  ... รองมาด้วย ผักจิงจูไฉ่  ....  เสิร์ฟ มาพร้อมกับ น้ำส้มพริกตำ ที่อร่อยลงตัวดีครับ ... เอาน้ำส้มพริกตำ ใส่ลงในชามซักช้อนนึง  เหยาะซีอิ๊วขาว ซักหน่อยนึง .. พริกไท เยอะหน่อย ... อร่อยเหาะเลยครับ
ส่วนน้ำจิ้มที่เหลือในถ้วย  ก็เหยาะ น้ำปลา และตัก พริกป่น ลงไปคนในถ้วยน้ำจิ้มให้ทั่ว  แล้ว เอาไว้จิ้มกับเครื่องใน ........ โอววววววววว  ....  เอามาอีกที่ นึงครับ


















                          นอกจากทานที่ร้าน แล้ว ผมยังซื้อใส่ถุงมาฝาก ภรรยา ลูก และ ลุงป้า ที่ดูแลบ้านอีกคนละอย่าง คนละถุงด้วยครับ  ...  ทั้ง เกาเหลา  ,  โจ๊กหมู  ,  โจ๊กปลา  .....  พอถึงบ้าน ก็แบ่งแจกจ่ายใส่ถ้วยเรียบร้อย  แถมแอบชิม โจ๊กปลา  เข้าไปด้วย  ....  อร่อยเลยครับ  ปลาสด ดีครับ  .... เที่ยวหน้าต้องไปลอง ร้อนๆ ที่ร้านซักชามครับ
                          ร้านนี้เปิดตั้งแต่เชาตรู่เลยครับ  ... เปิดทุกวันไม่มีวันหยุดครับ  ...  ลองแวะไปชิมกันดู นะครับ  .......  อ้อ .....  ราคา ถูกด้วยครับ






ป๋าปึกส์
1/10/2556

ขอแนะนำ ร้านโปรดของผู้เขียน
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html
 : http://restaurantaroi.blogspot.com/2011/05/tengoku-de-cuisine.html

ติดตาม คอลัมน์ แนะนำร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวันใน  Facebook
ได้ที่  : http://www.facebook.com/SuebsaengSun