ก่อนที่จะเริ่ม เรื่องอาหาร ของ 2 ห้องอาหารอร่อย ใน โรงแรม 137 Pillars House
คงต้องเล่าเรื่องราว ความเป็นมาแบบ ย่อๆ ของ ย่านวัดเกตุ ก่อนนะครับ .... เพราะโรงแรม แห่งนี้ ตั้งอยู่ในย่าน ธุรกิจการค้าเก่าแก่ ริมแม่น้ำปิง กลางเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกกันว่า " ย่าน วัดเกตุ " ครับ
" วัดเกตุ " เป็นย่าน การค้า ที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ ประมาณ ปี พ.ศ.2317
หลังจากที่ เชียงใหม่ พ้นจาก การปกครองของพม่า ... บ้านเมืองก็เริ่มมีความสงบ จนมีการอพยพเข้ามาค้าขาย และ ตั้งถิ่นฐาน ในย่านวัดเกตุ อย่างต่อเนื่อง ย่านนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ที่ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงประชากร ที่อาศัยอยู่สองฝั่งน้ำ จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง ในการทำมา ค้าขาย ในยุคนั้น ... ผู้คนที่เข้ามาค้าขาย และ ตั้งรกราก ส่วนใหญ่ จะเป็นพ่อค้า เชื้อสายจีน และ ฝรั่ง
จึงทำให้เราได้เห็น อาคารเก่าแก่ในย่านนั้น เป็นสถาปัตยกรรมจีน ผสมผสาน กับ สถาปัตยกรรมแบบฝรั่ง และ สถาปัตยกรรมแบบล้านนา
มีคนหลากหลายเชื้อชาติ อพยพเข้ามาอาศัย และ ค้าขาย ในย่านนี้
นอกจาก คนจีน , คนอินเดีย (ชาว ซิกข์) , ชาวฝรั่งเศส ฯลฯ ที่เข้ามาค้าขายแล้ว .. ยังมีชนชาติอื่นๆ ที่เข้ามา ประกอบกิจ และ กิจการอื่นๆ อีก เช่น
ชาวอเมริกัน ... ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา และ ตั้งโรงพยาบาล แมคคอร์มิค , โรงเรียนดาราวิทยาลัย , โรงเรียนปริส์รอแยล , โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน , มหาวิทยาลัยพายัพ
ชาวอังกฤษ ... ที่เข้ามาทำไม้ (บริษัท บอร์เนียว)
และอาชีพอื่นๆ อีกมากมาย
ความเป็นมา ของ 137 Pillars House (บ้าน 137 เสา)
บ้าน 137 เสา เคยถูกใช้เป็น บ้านพักของผู้จัดการ บริษัทอีสบอร์เนียวฯ
บริษัท อีสต์บอร์เนียว ได้รับสัมประทาน การทำป่าไม้ในเชิงพานิชย์ อย่างถูกกฏหมาย มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ.1889) ... ในสมัยที่ เชียงใหม่ ยังอุดมไปด้วย ป่าไม้สัก
มาจนถึง สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ..... ในปี พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) กองทัพ ญี่ปุ่น ได้เข้ามา ควบคุมเมืองเชียงใหม่ เลยทำให้ ผู้จัดการบริษัท บอร์เนียว ในยุคนั้น ต้องอพยพหนีเข้าไปอยู่ใน ประเทศพม่า และ ปล่อยบ้านหลังนี้ ทิ้งไว้อย่างว่างเปล่า
พอสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2 ... คุณ วิลเลี่ยม เบน (บิดาของ ลุงจรินทร์(แจ๊ค) เบน ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ในการก่อตั้ง พิพิธภัญฑ์ วัดเกตุ) ได้เข้ามาซื้อบ้านนี้ จาก บริษัท อีสต์บอร์เนียว และ ตั้งถิ่นฐาน ที่บ้านหลังนี้
จนมาเมื่อ ปี พ.ศ.2545 ... ได้มีนักธุรกิจ ชาวไทย จากกรุงเทพฯ เดินทางมาเที่ยวที่เชียงใหม่ และ ได้พบกับบ้านหลังนี้ และ ตกหลุมรัก บ้านหลังนี้ ตั้งแต่แรกเห็น
จึงขอซื้อบ้านหลังนี้ ที่รู้จักกันในนาม " บ้านดำ " .... เพื่อปรับปรุง และ สร้างอาคารเพิ่มเติม เพื่อเป็นที่พัก (โรงแรม)
โดยเปลี่ยนชื่อ จาก " บ้าน 137 เสา " มาเป็น " 137 Pillars House " .... เป็นการ นำเอาชื่อเดิม มาเรียกขานใหม่ ให้เป็น สากล มากขึ้นนั่นเองครับ
เอาหละครับ .... มาเข้าเรื่อง ร้านอาหารที่ผม จะแนะนำในวันนี้เลยครับ
โรงแรมนี้ อยู่ในย่านวัดเกตุ หากขับรถลงมาจาก สพานนวรัฐ แล้วเลี้ยวซ้าย .. แล้วขับผ่าน Good View ร้านอาหารชื่อดัง ริมน้ำปิง ... พอสุดร้านนิดเดียว ก็จะมี สามแยก ที่มี โชว์รูม Isuzu ที่เก่าแก่คลาสสิค ... เลี้ยวขวาเข้าไปเลยครับ ... เข้ามาซัก 50 เมตร ก็เจอสามแยก เลี้ยวซ้าย ไปอีก 20 กว่าเมตร ก็ เลี้ยวขวาอีกทีนึงครับ .... เลี้ยวมาก็ จะเห็น โรงแรม 137 Pillars House เลยครับ .
ตอนที่ ผมมาที่นี่ ครั้งแรกก็ได้เจอกับ " คุณเป้า " ผู้จัดการโรงแรม (ตอนนั้น เป็นเพื่อนของเพื่อนผม อีกทีนึงครับ) เป็น คนพาเดินชมเองเลยครับ ... โรงแรมนี้ อยู่ในพื้นที่ 5 ไร่กว่า ออกแบบได้กลมกลืนกับอาคารที่มีอยู่แล้ว เป็นอย่างดีครับ ... ตกแต่งภายใน ได้ถูกใจผมซะเหลือเกินครับ .... พื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมนี้ ทำไว้อย่างมี บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกว่า อบอุ่น ดีครับ ... มีห้องสมุด .. สปา .. สระว่ายน้ำ ริมกำแพงต้นไม้ ที่สวยงาม .. มีห้องดื่มน้ำชา ยามบ่าย ... ห้องอาหารแบบ ทานอาหารส่วนตัว .. และ ห้องอาหาร Dinning Room ที่ผมมาทานวันนี้ ครับ
ที่โรงแรม นี้ มีห้องอาหาร 2 ห้องด้วยกันนะครับ
ช่วงเวลา อาหารกลางวัน เค้าจะเปิดในห้องอาหาร ด้านหลังอาคารเก่าแก่คลาสสิค และ มีรายการอาหารส่วนใหญ่ เป็น อาหารไทย ครับ
ส่วนช่วงเย็น จะเปิด ห้องอาหารทั้ง 2 ห้อง ... ที่ห้องอาหารไทยห้องเดียวกันกับมื้อกลางวัน และ อาหารฝรั่ง ที่ห้องอาหาร Palette สุดสวย ในอาคาร 137 เสาเลย ครับ
แต่ถ้าใครอยากทานอาหารฝรั่งตอนกลางวัน ก็สามารถ จองล่วงหน้าได้นะครับ
ห้องอาหารทั้ง 2 ห้อง ตั้งอยู่ในตัวอาคาร 137 เสา ที่มีอายุเก่าแก่ แต่ได้ปรับปรุงและตกแต่ง ให้เป็น ห้องสมุด , ห้อง Palette , ห้องอาหารไทย (ด้านหลัง) และ ห้องดื่มน้ำชา (บรรยากาศดีมากครับ)
ผมไปทานที่นี่ครั้งแรก ก็ไปทานอาหารไทย ที่ด้านหลังอาคาร 137 ครับ (5/10/2556)
คุณเป้า ผู้จัดการโรงแรม เป็น ผู้ช่วยแนะนำ อาหาร ให้ครับ วันนั้นสั่งมาทานหลายอย่างเลยครับ
ต้มข่าไก่รมควัน .. ไก่สะเต๊ะลือ .. ยำมะม่วงปลาแซลม่อน .. กุ้งข้าวเม่าหมี .. โรตีแกงเขียวหวานไก่ .. แกงคั่วส้มหมู .. แกะพริกไทดำรากบัว ... พร้อมข้าวกล้อง ....... เยอะเลยนะครับ
มีอาหาร หลายจาน ที่ผมชอบ ครับ เช่น
คั่วส้มหมู .......... จานนี้ใช้เนื้อหมูสามชั้น ซึ่งตอนที่ ก่อนเค้าจะยกจานนี้ มาที่โต๊ะ ผมแอบนึกในใจว่า มันคงจะเป็น หมูแบบมันเป็นแถบๆ เส้นใหญ่ๆ และคงมี รสมัน นำหน้า มาแน่นอนเลยครับ
แต่ ไม่ได้เป็นอย่างที่ผม จินตนาการเลยครับ .... เค้าเลือกใช้ เนื้อหมูสามชั้นก็จริงแต่ เค้าคัดเอาเฉพาะ ส่วนที่ มี มัน ไม่เยอะอย่างที่คิดครับ .... หมูสามชั้นหั่น และ แล่เป็นแผ่น ชิ้นขนาดพอดีคำ .. เคี่ยวมาจนเปื่อยนุ่ม รสชาติเครื่องหมัก เข้าเนื้อดีครับ ... วางไว้บน แกงคั่วส้ม ที่ น้ำแกง มีรสชาติ กลมกล่อมครบรส มีรสเปรี้ยวนำหน้าเล็กน้อย รสชาติออกจะคล้ายๆกับ แกงเทโพ มีก้านผักบุ้งไทย ชิ้นกำลังดี สุกนุ่ม รองมาด้านล่าง .... แค่เอาน้ำแกง ราดข้าวเปล่าๆ ก็อร่อยแล้วครับ
กุ้งข้าวเม่าหมี ......... กุ้งแม่น้ำตัวโต สีสวย .. ที่ทำมาแบบ สุกกำลังดีเลยครับ ... ในหัวกุ้ง ยังคงมี มันกุ้งที่สุกแบบ ยางมะตูม เยิ้มอยู่ใต้เปลือก .... โรยด้านข้างมาด้วย ข้าวเม่าทอดสีน้ำตาลอมเหลือง และ เส้นหมี่ทอดกรอบสีสวย .... เสิรฺฟมาพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด คล้ายๆ น้ำจิ้มทะเล แต่ไม่เผ็ดมาก ... จานนี้ ผมลงมือ ตักเนื้อกุ้ง แจกให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น จนหมด (ไม่ได้จะเอาใจ เพื่อนนะครับ) แล้วผมก็ ยกมาใส่จานทั้งหัวเลยครับ ... เอา ช้อนซ่อม ง้างเอาขาออก .. แล้วก็ตักเอา มันกุ้ง ที่ในหัว ที่สุกแบบยางมะตูม สีส้ม ปน เหลือง คลุกข้าวสวย ร้อนๆ .. ราดด้วยน้ำจิ้มที่เสิร์ฟมา .... โอวววววว สุด สุด ครับ
ต้มข่าไก่รมควัน ......... ปรกติ ต้มข่าเป็นอาหารไทยจานโปรดของผมเลยครับ ไปร้านไหน สั่งมาลองร้านนั้นเลยครับ ... ต้มข่าที่นี่ รสชาติ อาจจะไม่จัดจ้านนัก แต่ ก็อร่อยครับ ... ครบเครื่อง ครบรส แต่อาจจะเบาไปหน่อย สำหรับคนชอบรสจัดจ้านนะครับ ... แต่ชามนี้ ซดเป็นซุป ตอนเริ่มต้น เหมาะเลยครับ ... ส่วนที่ทำให้ ต้มข่าที่นี่ น่าสนใจกว่าที่อื่นก็ตรง การใช้ ไก่รมควัน มาสไลดส์บางๆ แล้ว ใส่ลงไปใน ต้มข่า นี่แหละครับ ... รสชาติ และ กลิ่นหอม ของไก่ รมควัน ช่วยทำให้ จานนี้ อร่อยขึ้นอีกเยอะเลยครับ
ยำมะม่วงปลาแซลม่อน ......... เป็นการผสมผสาน ที่ ลงตัวดีครับ ... ปลาแซลม่อน สไลด์บาง เอามา คลุกเคล้า กับ มะม่วงยำแบบไทยๆ .... รสชาติของ ปลาแซลม่อน แบบฝรั่ง กับ ยำมะม่วงแบบไทยๆ ก็อร่อย เข้ากันได้ดีครับ
และ เมื่อวานนี้เองครับ (24/4/2557) ผมเห็น โฆษณา ของโรมแรม 137 จาก Facebook ของเพื่อน ... เห็นทางโรงแรม แจ้งว่า มี Executive Chef คนใหม่ มาเริ่มงานที่โรงแรม สดๆ ร้อนๆ เลยครับ ... ผมเลยรีบจัดการโทรนัด ทั้งครอบครัว แล้วก็ ส่งข้อความไปจองทาง Facebook ของ คุณเป้า (ผู้จัดการ) เลยครับ
ห้องอาหารฝรั่งร้านนี้ ชื่อ Palette ... ตั้งอยู่ใน โรงแรม 137 Pillars เลยครับ
การตกแต่ง ทั้งภานนอก และ ภายในอาคารนี้ ต้องถือว่า เนี๊ยบและสุดคลาสสิคเลยทีเดียวเลยครับ
เมื่อวานมาถึง ที่นี่ประมาณ 6 โมงกว่าๆ อากาศตอนเย็นที่นี่ ถึงแม้ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ เลยทำให้รู้สึก เย็นสบายขึ้นได้เลยครับ บรรยากาศในโรงแรมนี้ เวลาเข้ามา แล้วรู้สึกอบอุ่น ไม่วังเวง ดีจริงๆเลยครับ
ด้านหน้า อาคารเก่าแก่ มี สระว่ายน้ำ และ กำแพงต้นไม้ ที่สูงกว่า 10 เมตร
และ มีเก้าอี้โซฟา วางไว้เป็นจุดๆ เหมาะอย่างยิ่งกับ การสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มานั่งจิบ ก่อนเข้าไปทานอาหาร ซะเหลือเกินครับ
เมื่อวานที่ผมไป เป็นวันแรกๆ ของการทำงานของเชฟ คนใหม่ล่าสุด ที่กำลังจะทำรายการอาหารเมนูใหม่ ในห้องอาหารนี้ แต่ยังไม่ได้ เซ็ทเมนู เพื่อขาย และโชคดีเหลือเกินครับ ที่ คุณเป้า(ผู้จัดการ) บอกเชฟให้มาทำ เมนูใหม่ ที่เพิ่งเริ่มทำวันแรก มาให้ผมและ ครอบครัวได้ลองเลยครับ
ต้องขอบอกว่า การตกแต่งจาน และ รสชาติของอาหารฝรั่งที่นี่ ไม่แพ้ เชฟฝรั่งเลยครับ
เมื่อวาน เลยเป็น จานอาหารเพื่อให้ลองได้หลายๆอย่าง อาหารในจานเลย อาจจะดูเล็กไปเล็กน้อย แต่แค่นี้ก็อิ่มแปร้แล้วครับ ....
Grape Champagne Jelly .......... จานแรก เป็น อาหารเรียกน้ำย่อย .. ประกอบด้วย ปลาแซลม่อนจากนอร์เวย์ หั่นเป็นชิ้น แบบ ลูกเต๋าเล็กๆ คลุกเคล้ามาด้วยซ้อสที่ทำจากส่วนผสมจาก แชมเปญ พร้อม องุ่น และ มะเขือเทศ ที่หั่น เป็นลูกเต๋า แบบไม่เอาเมล็ดหั่น แบบเดียวกัน ... รสชาติ ปลาแซลม่อน ผสมผสานกับ เนื้ออง่นเขียว และ มะเขือเทศ และ แชมเปญ อร่อยแบบ เปรี้ยวเล็กน้อย อมหวาน นิดหน่อย และ ความซาบซ่า ของแชมเปญ ยิ่ง ขับให้ รสของปลาแซลม่อน ลอยเด่นอบอวลอยู่ในปากเลยทีเดียวครับ
Fresh Tuna Carpaccio .......... จานนี้ ยกมาถึงต้องถ่ายรูปเลยครับ จัดจานมาแบบ สสัน ตัดกัน โช้งเช้ง สวยจังเลยครับ .. ปลาทูน่า ที่คลุกเครื่องปรุงหมักมาแบบรสกลมกล่อม ดีเลยครับ ... เสิร์ฟมาพร้อมเห็ดหอมนึ่ง ที่ซอยมาเป็นชิ้นเล็กๆ และ หัวบีทรูทเชื่อม และ อโวคาโด ... รองจานมาด้วย ซ้อสมะขาม รสอร่อย .... อร่อยแปลกแบบสดชื่นดีครับ
พอจบจานนี้ เค้าก็ยก Orange Sherbet ตามแบบฉบับ ของธรรมเนียมอาหารฝรั่ง ที่เอาทาน เพื่อมาล้างปาก ก่อนเข้ามาถึง Main Course
Scared Alaska Scallops and Fresh water Prawn .......... อาหารเมนคอร์ส จานแรก เป็น กุ้งแม่น้ำ(ฝรั่ง) อบ และ หอยเชลส์ อลาสก้า ที่ย่างแบบเกรียมเล็กน้อย เสิร์ฟมาพร้อม มะม่วงกับสัปปะรด หั่นแบบลูกเต๋า ที่ คลุกเคล้าปรุงรสมาแบบลงตัว เคียงเครื่องมาด้วย เนื้อปูปั้นมากับหอมใหญ่ ... อร่อยครบรสดีครับ
Beef Tenderloin .......... อาหารเมนดอร์สอีกจานนึง เป็น เนื้อสันในย่าง .. เคียงข้างมาด้วย เห็ดหอมย่าง และ วูฟท์เบอรี่ พร้อมด้วย รากบัวบด ... โรยข้างมาด้วย พาร์ม่าแฮมอบกรอบ .... จานนี้แลดูเหมือนจะเล็ก แต่ว่า มันก็พอดีกับการทาน เมนคอร์ส ของ จานนะครับ
แล้ว มีต่อท้ายด้วยของหวาน ... แต่ผมไม่ทานทานครับ เพราะคิดเอาเอง ว่า ของหวานอาจจะไป ทำลาย รสสัมผัส ของ ลิ้น ... ที่กำลัง รับรส ของ แอลกอฮอลล์ บางๆ ของไวน์แดง ที่จิบอยู่ ครับ .... 5555
ขอขอบคุณทางโรงแรม ที่กรุณาลดราคาอาหาร ในวันนี้ ให้ผมด้วยนะครับ ... วันนี้คณะผมใช้เวลา ทานอาหารและเดินชม โรงแรมกันอย่างเพลิดเพลิน ... เผลอแป้บเดียว หมดไปเกือบ 3 ชั่วโมงเลยครับ ...
แน่นอนครับ ราคาอาหารในโรงแรมส่วนใหญ่ มักจะมีราคาสูงกว่า ร้านอาหารนอกโรงแรม เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วครับ ... แต่ถ้าอาหารอร่อยแบบนี้ บริการดีๆ แบบนี้
ผมว่าก็คุ้มค่า เหมาะ กับการพาแขก คนสำคัญ ไปนั่งชื่นชมบรรยากาศดีๆ และ ทานอะไรอร่อยๆ นะครับ
ลองเปิดดู รายละเอียด ของร้านอาหารและ โรงแรม 137 Pillars House ใน Web ด้านล่างดู นะครับ
http://137pillarshouse.com/
137 Pillars House
2 ซอย 1 , ถนนหน้าวัดเกตุ
ตำบล วัดเกตุ , อำเภอเมือง
เชียงใหม่ 50000
แผนที่ร้านอาหารทั้งหมด ที่ผมเขียนแนะนำ ไว้ใน " แนะนำ ร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ "
https://mapsengine.google.com/map/edit?authuser=0&hl=en&mid=zi7qOsZPeff0.kmjHpvkh5cmM
ป๋าปึกส์
25/4/2556
ขอแนะนำ ร้านอาหารร้านโปรด ของผู้เขียน
http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-1.html
http://restaurantaroi.blogspot.com/2010/11/tengoku-2.html
ติดตาม การแนะนำ ร้านอาหารอร่อย โดย ป๋าปึกส์ ได้ทุกวัน ใน Facebook ที่
https://www.facebook.com/SuebsaengSun
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น